จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

กิจกรรมวันสิ่งแวดล้อมไทย

กิจกรรมวันสิ่งแวดล้อมไทย

ความเป็นมา วันสิ่งแวดล้อมไทย
        จากปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ตลอดจนปัญหาภาวะมลพิษที่รุนแรง จนถึงขั้นที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าถวายพระพร เนื่องในวโรกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2532 ณ ศาลาดุสิดาลัยพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน มีใจความเกี่ยวกับสถานการณ์และปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งที่เกิดกับโลกและในประเทศ และได้ตรัสเตือนให้พสกนิกร ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา สิ่งแวดล้อม อย่างจริงจัง ด้วยความสุขุมรอบคอบ โดยให้ถือเป็นว
หน้าที่ของทุกคนที่จะต้องปฏิบัติ มิใช่เพียงเพื่อ ประเทศไทยเท่านั้น หากเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของโลกด้วย

        จากพระราชดำรัสดังกล่าว นับเป็นจุดเริ่มของการ เคลื่อนไหวในการดำเนินงาน เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของทุกฝ่ายทั้งหน่วยงานของรัฐ และเอกชน ในการสนับสนุนกิจกรรมรณรงค์ทางสังคม เพื่อสร้างความรู้สึกมีส่วนร่วมของประชาชนในการรักษาสิ่งแวดล้อม ในส่วนของภาครัฐได้ให้ความสำคัญในเรื่องของสิ่งแวดล้อมมาเป็นอันดับแรก โดยได้ดำเนินการจัดกิจกรรมและรณรงค์ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกันอย่างจริงจัง สำหรับภาคเอกชนได้เริ่ม ให้ความสำคัญ เรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยมีการคำนึงถึงเรื่องผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนกระบวนการผลิตต่าง ๆ โดยมีการริเริ่มโครงการอนุรักษ์ และพัฒนาทางด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ต่อชุมชน และสังคมส่วนรวม ของประเทศตลอดจนได้มี การจัดตั้งองค์กรใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นในรูปของมูลนิธิ ชมรม สมาคม เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินงานการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม อันแสดงให้เห็นถึงการรวมพลัง ของประเทศเพื่อร่วมกันพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมของประเทศ

        ดังนั้น คณะรัฐมนตรี ได้ประชุมปรึกษาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2534 มีมติเห็นชอบให้ วันที่ 4 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมไทย ตามที่ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการให้ความร่วมมือ ในการดำเนินการด้วย 

       วันที่ 4  ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งในปีนี้ได้มีการจัดงานขึ้นในวันที่ 3 ธันวาคม โดยในปี 2547 นี้ได้ มีการใช้ชื่อโครงการว่า “เขียวสดใส...เมืองไทยสะอาด” โดยมีการจัดโครงการต่างๆมากมาย ซึ่งในโครงการก็มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยงานทั้งหมดจัดขึ้นโดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม       โครงการจัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้กับการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญและในปีนี้ได้มีการเน้นความสำคัญในเรื่อง “Climate Change” หรืออีกนัยหนึ่งคือ ภาวะโลกร้อน หรือปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งมีหลักก็คือ โลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ในรูปของพลังงานแสง พลังงานบางส่วนก็จะสะท้อนกลับออกไปนอกโลกในสภาพของพลังงานความร้อน และพลังงานความร้อนนี้จะถูกก๊าชเรือนกระจก ซึ่งมีอยู่ในบรรยากาศตามธรรมชาติในปริมาณที่ไม่มากนัก ดูดกลืนเอาไว้บางส่วน พลังงานความร้อนที่ก๊าชเรือนกระจกดูดกลืนเอาไว้จะทำให้โลกมีความอบอุ่น และทำให้สิ่งชีวิตอาศัยอยู่ในโลกนี้ได้เป็นหลักสำคัญของการจัดงานในปีนี้ โดยเรื่อง “Climate Change” โดยปัญหาเหล่านี้เกิดจากมนุษย์แทบทั้งสิ้น โดนมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจในสิ่งที่ได้ทำลงไป ส่งผลให้เกิดสภาพดังกล่าวขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะมีความรุนแรงขึ้นด้วย ส่วนวิธีการแก้ไขปัญหานั้นคือการลดการใช้ก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยลงและลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสารโดย Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) 1990 และ The United Nations Framwork Convention on Climate Change (UNFCC) 1996 ได้ทำนายผลที่คาดว่าจะเกิดตามมาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสาร CFC ดังนี้ ว่า
      *อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 องศาเซลเซียส ภายในปี พ.ศ.2643 หรือการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในระดับปานกลางโดยอยู่ในช่วงระหว่าง 1.5 - 3.5 องศาเซลเซียส
      *การเปลี่ยนอุณหภูมิในระดับภูมิภาคจะแตกต่างไปจากค่าเฉลี่ยนของโลกมาก แต่ยังไม่สามารถบ่งชี้ได้อย่างแน่นอนว่าแตกต่างอย่างไง
      *ระดับน้ำทะเล คาดหมายว่าจะสูงขึ้นประมาณ 15 - 95 เซนติเมตร โดยค่าประมาณปานกลางที่ 50 เซนติเมตร ภายในปี พ.ศ. 2643 ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าภูมิอากาศและอุณหภูมิโลกจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกก็ตาม
      *ผลต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลกและปริมาณน้ำฝน คือ คาดว่าป่าไม้บางส่วน (ประมาณ 1 ใน 3 ถึง 1 ใน 7 ของโลก) จะมีการเปลี่ยนแปลงของพรรณไม้ที่สำคัญส่งผลให้มีสภาพที่ต่างจากเดิมไป
      *ประเทศที่กำลังพัฒนาจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพของภูมิอากาศมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งนี้เนื่องมาจากมีข้อจำกัดในการปรับสภาพให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้โดยปัญหาเหล่านี้กำลังจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งในงานของวันสิ่งแวดล้อมไทยนี้เองได้มีการจัดประกวดโครงการ การประกวดนักประชาสัมพันธ์สิ่งแวดล้อมรุ่นเยาว์ ระดับอุดมศึกษาขึ้น เพื่อให้เยาวชนในระดับอุดมศึกษาเกิดความคิดจัดการกับเรื่อง “Climate Change” หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อนำไปใช้เป็นโครงการในอนาคต



14 กลเม็ดง่ายๆ กู้วิกฤติโลกร้อน กลเม็ดง่ายๆ และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถช่วยกู้วิกฤติโลกร้อนได้ง่ายๆ

ไอเดียแคนดูแรกในการพิทักษ์โลกให้รอดพ้นจากภาวะโลกร้อนคือ 
วันสิ่งแวดล้อมโลก1. เปลี่ยนอาหารให้เป็นเชื้อเพลิง ในระยะหลายปีมานี้ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกทุ่มเทเวลาอย่างจริงจังให้กับการคิดค้น หาวิธีผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากพืชพันธุ์ธรรมชาติ ไล่ตั้งแต่ ข้าวโพด, ถั่วเหลือง, น้ำมันหุงต้ม ไปจนถึงเศษขยะ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ทดแทนพลังงานจากน้ำมัน ซึ่งนับวันมีแต่จะร่อยหรอลงเรื่อยๆ!! เห็นได้ชัดจากความเคลื่อนไหวของกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่มงบประมาณเป็นสองเท่า สำหรับการทำวิจัยคิดค้นเชื้อเพลิงชีวภาพโดยเฉพาะ และดูเหมือนว่าเชื้อเพลิงที่ผลิตจากข้าวโพดเป็นก๊าซอีธานอลจะมาแรงแซงทางโค้ง กว่าใครเพื่อน เพราะ ทั้งเซฟเงินในกระเป๋า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต

2. เปลี่ยนหลอดไฟใหม่เป็นแบบประหยัด คือวิธีเซฟค่าไฟในบ้านที่ฮิตฮอตที่สุดของที่สุด แม้รูปร่างหน้าตาของหลอดไฟซีเอฟแอล ที่เรียกกันติดปากในบ้านเราว่า หลอดไฟตะเกียบ ออกจะแปลกตาสักหน่อย แต่ประสิทธิภาพไฮโซมาก!! เพราะช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าหลอดไฟธรรมดาๆถึง 3-5 เท่า แถมยังมีอายุการใช้งานนานกว่าหลายเท่าตัว ปัจจุบันมีให้เลือกใช้มากมายหลายขนาด ทั้งหลอดไฟขนาด 26 วัตต์, 40 วัตต์ ไปจนถึง 100 วัตต์

3. จัดระเบียบการซักผ้าใหม่ ผลการศึกษาล่าสุดของสถาบันอุตสาหกรรมการผลิต มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ค้นพบว่าขั้นตอนการซักผ้าและอบผ้าให้แห้ง กินพลังงานถึง 60% ของการผลิตเสื้อผ้าทั้งหมด และเสื้อยืดธรรมดาๆตัวหนึ่ง ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกือบ 4 กิโลกรัม!! คงไม่ถึงกับขอร้องคุณๆให้หยุดการซักผ้ารีดผ้าหรอกนะคะ!! แต่ถ้าอยากช่วยพิทักษ์โลกสีเขียวก็สามารถทำได้ง่ายๆด้วยการจัดระเบียบการซักผ้ารีดผ้าใหม่ เช่น เปลี่ยนจากการซักผ้าด้วยน้ำอุ่นเป็นน้ำเย็น หรือไม่ก็รวบรวมเสื้อผ้าให้ได้กองโตพอสมควรก่อน ค่อยนำไปซักทีเดียว อย่างบ้านเรา แดดเปรี้ยงแรงดีอยู่แล้ว แค่นำเสื้อผ้าตากแดดตากลมให้แห้งตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องอบผ้าให้กินไฟและทำลายสิ่งแวดล้อม

4. จัดบ้านใหม่ให้สอดคล้องกับหลักธรรมชาติ เชื่อหรือ ไม่คะว่า 16% ของพลังงานที่ใช้ภายในบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เป็นตัวการก่อให้เกิดการแพร่กระจายก๊าซกรีนเฮาส์ในอเมริกา ฉะนั้น ลองหาเวลาว่างจัดบ้านใหม่ให้สอดคล้องกับหลักธรรมชาติ และทิศทางลม แทนที่จะพึ่งเทคโนโลยีไฮเทคตลอดเวลา เพราะการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายโลว์เทคๆช่วยเซฟพลังงานในบ้านได้ถึง 40%

5. ใส่เสื้อผ้ามือสองพิทักษ์โลก ในนิตยสารไทม์ฉบับล่าสุด ระบุไว้ว่า เสื้อผ้ามือสองเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าเสื้อผ้าใหม่ เพราะการซื้อเสื้อผ้ามือสองช่วยหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง จากการผลิต และขนส่ง อันเป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ยิ่งยุคนี้วินเทจ ลุคเป็นที่นิยมอยู่ด้วย ช่วยกันคนละนิดนะคะ ทั้งอินเทรนด์ แถมยังลดวิกฤติโลกร้อน!!

อีกหนึ่งวิธีเซฟ เดอะ เวิลด์ที่เวิร์กมากๆ เห็นจะเป็น 6. การจัด สรรให้พนักงานทำงานใกล้บ้านที่สุด ฟาสต์ฟู้ดใหญ่ๆทั่ว อเมริกานำวิธีนี้มาใช้อย่างได้ผล!! เพราะแทนที่หนุ่มสาวคนทำงานจะสูญเสียพลังงานจากการขับรถไกลๆมาทำงานในแต่ละวัน ทำไมเราไม่หาสาขาที่ทำงานใกล้บ้านให้แมตช์กับพนักงานละคะ!! หรือถ้าฟังดูยุ่งยากเกินไปก็อาจตั้งเป้าหมายไปเลยว่า ต่อไปนี้ฉันจะหางานทำเฉพาะทำเลที่อยู่ใกล้บ้านเท่านั้น!!

ถ้าคุณเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตัวจริงละก็ ทิ้งบ้านหลังใหญ่ แถบชานเมือง ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงด่วนจี๋!! เพราะเมืองใหญ่ๆอย่างแมนฮัตตัน, โตเกียว หรือลอนดอน ถือเป็นโซนของพลเมืองโลกหัวใจสีเขียวขนานแท้!! ชาวกรุงน้อยคนนักจะขับรถไปทำงาน ส่วนใหญ่นิยมเดิน, ขี่จักรยาน หรือไม่ก็ใช้บริการขนส่งมวลชน ซึ่งรวดเร็วและเปี่ยมประสิทธิภาพมากกว่า!!

7. จ่ายบิลค่าใช้จ่ายทางอินเตอร์เน็ต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ หันมาจ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามือถือ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ผ่านทางอินเตอร์เน็ต จะช่วยกู้วิกฤติโลกร้อนได้ อย่างมโหฬาร!! อย่างน้อยๆก็ช่วยลดการใช้กระดาษ ซึ่งนำไปสู่การตัดไม้ ทำลายป่า แถมยังช่วยลดความสิ้นเปลืองพลังงานจากการขนส่งกระดาษทั้งทางเครื่องบิน และรถบรรทุก รู้ไหมคะว่าวิธีนี้นอกจากจะประหยัดเวลาและเงินในกระเป๋าของคุณเห็นๆแล้ว ยังช่วยลดปริมาณขยะลงถึงปีละ 1,450 ล้านตัน และจำกัดการแพร่กระจายของก๊าซกรีนเฮาส์ ปีละ 1.9 ล้านตัน

8. เปิดหน้าต่างรับลมแทนการเปิดแอร์ วิธีนี้ง่ายและคนไทยคุ้นเคยกันดี ผลการศึกษาของอเมริกาบ่งชี้ว่า 22.7 ตัน ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศมาจากบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ลองลดการใช้พลังงานและทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยการเปิดหน้าต่างภายในบ้านเพื่อรับลม แทนที่จะเปิดแอร์ทั้งวันทั้งคืน เพราะลมธรรมชาติจากภายนอกจะทำให้อากาศภายในบ้านเย็นสบายขึ้นในช่วงฤดูร้อน และอุ่นขึ้นในช่วงฤดูหนาว

9. ปิดคอมพิวเตอร์ทุกครั้งที่ไม่ได้ใช้ เรื่องนี้ควรรณรงค์ อย่างจริงจังในทุกออฟฟิศ เพราะการเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ ไม่เพียงแต่จะเปลืองไฟ แต่ยังก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากจะปิดทิ้งหลังใช้ เสร็จทุกครั้งแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านการประหยัดพลังงานยังแนะนำว่า การปิดคอมพิวเตอร์, โทรทัศน์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ โดยใช้ปุ่มสแตนด์บาย พาวเวอร์ กินไฟในบ้านแบบไม่รู้ตัวถึง 75%...ปุ่ม off เท่านั้นที่เราต้องการ!!

10. ปิดไฟทุกครั้งที่เสร็จงาน ไม่เฉพาะแต่ช่วงพักกลางวัน หรือหลังเลิกงานที่ควรรณรงค์เรื่องการปิดไฟในออฟฟิศ แต่บางออฟฟิศในเมืองใหญ่ๆยังขอความร่วมมือจากพนักงานให้ปิดไฟทุกครั้งที่ทำงานเสร็จ แม้บรรยากาศในออฟฟิศอาจดูมืดๆทึมๆไปบ้าง แต่ก็ช่วยเซฟพลังงานได้อีกหลายเท่าตัว เรื่องประหยัดไฟต้องยกให้ “สมเด็จพระบรมราชินีเอลิซาเบธที่สองแห่งอังกฤษ” ทรงเป็นต้นแบบของโลก!!

วันสิ่งแวดล้อมโลก11. ทายสิคะว่า ระหว่างการขับรถ BMW กับการกินเบอร์เกอร์บิ๊กแมค อะไรก่อให้ เกิดภาวะโลกร้อนหนักกว่ากัน!! คำตอบก็คือบิ๊กแมคค่ะ!! จากรายงานของนิตยสารไทม์ ระบุว่า อุตสาหกรรมผลิตเนื้อทั่วโลกก่อให้เกิดการแพร่กระจายก๊าซกรีนเฮาส์ ในชั้นบรรยากาศมากถึง 18%

12.เลิกบริโภคเนื้อสเต็ก เถอะนะคะ เพื่อให้ลูกหลานมีอากาศดีๆ ไว้หายใจในอนาคต!!

13. ปฏิเสธถุงพลาสติกลูกเดียว!! ใน แต่ละปีมีถุงพลาสติกถูกผลิตออกสู่ตลาดมากกว่า 50,000 ล้านถุง และมีเพียง 3% ของถุงพลาสติกที่นำไปรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง โดยถุงพลาสติกแต่ละใบต้องใช้เวลาถึงพันปีกว่าจะย่อยสลายหมดไปจากโลก!! ทางที่ดีช่วยกันรณรงค์งดใช้ถุงพลาสติกจะดีกว่า แล้วหันมาพกถุงผ้าส่วนตัวไปช็อปปิ้งตามซุปเปอร์มาร์เกตแทน!!

14. ปลดเนกไท-ถอดสูททิ้ง บริษัทใหญ่ๆในญี่ปุ่นเป็นผู้ริเริ่มการประหยัดพลังงานแนวใหม่ ด้วยการไฟเขียวอนุญาตให้พนักงานใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดาๆ โดยไม่ต้องสวมสูทและผูกเนกไทมาทำงานในช่วงฤดูร้อนตับแตก เพื่อประหยัดค่าแอร์!! ปรากฏว่าได้ผลมาก เพราะฤดูร้อนที่ผ่านมา พี่ยุ่นสามารถลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้มากถึง 71,700 ตัน






 


dsc06990 


dsc06995   


dsc06999


แหล่งอ้างอิง
- 4 ธันวาคม วันสิ่งแวดล้อมไทย ร่วมคิด ร่วมทำ เพื่ออนาคตสิ่งแวดล้อมไทย. มติชน. : ( 4 ธ.ค. 43) หน้า 16
- http://www.deqp.go.th/king/index.html
- ปิยะนาถ กลิ่นภักดี.วันสิ่งแวดล้อมไทย. (http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=109&post_id=37651)

    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น